การศึกษา

7 พื้นฐานของชีวิตที่คุณควรรู้(และทำ) เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น

ในบรรดาพวกหนังสือ Self-Improvment หรือแม้แต่เทคนิคการบริหารจัดการสำหรับผู้บริหารนั้น ชื่อของ Stephen Convey คงเป็นอีกชื่อที่หลายคนคุ้นๆ อยู่ แต่ถ้าจะคุ้นมากสุดก็คงจะเป็นปกหนังสือของเขาที่ขายดีมากๆ อย่าง 7 Habbits of Highly Effective People หรือ The 8th Habbit (แนะนำให้หาอ่านกันนะครับ หนังสือดี ให้ข้อคิดมากมาย)

วันก่อนผมก็เปิดไปเจอคนทำสรุปแนวคิดของ Convey เอาไว้เป็น 7 Cardinals Rules of Life ซึ่งถ้าจะแปลกันง่ายๆ คือ 7 กฏพื้นฐานของชีวิต โดยอธิบายหลักปฏิบัติที่ทำให้ประสบความสำเร็จในแง่การใช้ชีวิต มีอะไรบ้างลองมาดูกันเลย

1.ยอมรับกับอดีตของคุณ

แน่นอนว่าอดีตสำหรับหลายๆ คนนั้นมักจะไม่ได้สวยงามเสมอไป หลายอย่างในอดีตกลายเป็นความทรงจำที่เลวร้ายหรือถ้าหนักๆ เข้าก็ถึงกับกลายเป็นตัวถ่วงให้ชีวิตเราไม่ก้าวไปข้างหน้าเลยก็มี ผมเองก็เคยประสบเหตุการณ์แบบนั้นอยู่ไม่น้อย แน่นอนว่าการปล่อยวางอดีตย่อมช่วยให้คุณสามารถอยู่กับมันได้แทนที่จะต้องทนทุกข์ทรมานจนมันทำลายปัจจุบันไปเสีย อย่าลืมเสียว่าอดีตไม่ได้สร้างอนาคต แต่คือสิ่งที่คุณทำวันนี้ต่างหาก

2 อย่าใส่ใจกับสิ่งที่คนอื่นมองว่าคุณเป็นอย่างไร

การพะวงหรือคอยห่วงว่าคนอื่นจะคิดอย่างโน้นอย่างนี้กับเราหลายๆ ทีก็ทำให้ชีวิตเรายุ่งหรือไปต่อไม่ได้เพราะสร้างความกลัวกังวลไปเสียหมด วิธีที่ดีคืออย่าได้ไปพะวงหรือยึดติดกับมันเสียจนไม่เป็นอันทำอะไร สิ่งสำคัญคือการที่คุณมองคุณค่าของตัวเองให้เจอและเริ่มต้นคิดว่าคุณสำคัญอย่างไร แน่นอนว่าวิธีการคิดแบบนี้ก็ดูดีแต่ก็ต้องระวังเล็กน้อยเพราะการฟังคนอื่น (ที่ควรฟัง) ก็เป็นเสียงวิจารณ์ที่ดีและนำทางเราเหมือนกัน และการหลงตัวเองบางครั้งก็ทำให้เกิดปัญหาอีกด้วย

3. เวลาจะช่วยรักษาทุกอย่าง

เวลาเราเจอทุกข์ แรกๆ เราก็ทรมานแทบตาย ผมเคยเจอเหตุการณ์ที่หลายคนชนิดที่พูดว่า “ตายเสียดีกว่าอยู่” ประเภทกินไม่ได้นอนไม่หลับ ทรมานทั้งกายทั้งใจและคิดไม่ได้ว่าจะหายจากความทรมานนี้ได้อย่างไร แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทุกๆ อย่างมันก็ดีขึ้นตามกาลเวลา แม้ว่ามันอาจจะทิ้งบาดแผลเอาไว้บ้างแต่เราก็ไม่ได้ทรมานจะเป็นจะตายแบบก่อน บาดแผลที่ถูกเยียวยาจะกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นในอนาคต

4. คุณเองนั่นแหละคือสาเหตุของความสุข

คนเรามักแสวงหาความสุขจากสิ่งต่างๆ เช่นจากการครอบครองสิ่งที่อยากได้ การได้มีคนรัก ฯลฯ และเราก็เชื่อกันว่านั่นคือ “ความสุข” ที่แท้จริง แต่จริงๆ แล้วความสุข (หรือแม้แต่ความทุกข์) ไม่ได้อยู่ที่สิ่งรอบข้างตัวเราเลย หากแต่เป็นตัวเราเองที่คิดและตัดสินไปว่านั่นคือความสุข (หรือความทุกข์) ฉะนั้นแล้ว สัจธรรมข้อนี้เองที่ทำให้เราไม่หลงทางหรือมัวเมาตัวเองจนลืมคิดไปว่าทำอย่างไรให้มีความสุข วันไหนที่เรารู้สึกเครียด ท้อ หรือหดหู่ลองกลับมาคิดเสียว่าจริงๆ แล้วแค่คุณมองโลกในมุมที่เปลี่ยนไป คุณก็สุขขึ้นได้แล้ว

5.อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น

การเปรียบเทียบเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ยากจะห้าม และการเปรียบเทียบนี้เองที่ทำให้หลายคนทุกข์แล้วทุกข์เอง ในขณะที่หลายๆ คนก็เอาคนอื่นเป็นที่ตั้ง มองชีวิตคนอื่นจนกลัวไปเสียหมดว่าจะเดี๋ยวจะเป็นแบบคนโน้น เดี๋ยวจะพลาดแบบคนนี้ สุดท้ายเลยเป็นกังวลจนไม่เป็นทำอะไร เราต้องไม่ลืมว่าชีวิตแต่ละคนมีพื้นฐานไม่เหมือนกัน การเปรียบเทียบคนที่พื้นฐานไม่เท่ากันนั้นก็คงยากจะเทียบให้สมเหตุสมผล ฉะนั้น อย่าได้เทียบตัวเองกับคนอื่นจนจิตใจคุณฝ่อหรือท้อเลยจะดีกว่า

6. หยุดคิดมาก

การอยากรู้และพยายามหาคำตอบเป็นสิ่งที่ดี แต่บางครั้งมันก็อาจจะไม่คำตอบที่ตายตัวหรือคำตอบที่ถูกต้องเสมอ การพยายามครุ่นคิดมากเกินไปก็อาจจะทำให้เราจมกับการคิดและไปไหนต่อไม่ได้ ฉะนั้นบางครั้งการมองว่า “ไม่มีคำตอบ” คือ “คำตอบ” ก็ช่วยให้คุณหลุดจากการจมปลักได้เหมือนกัน

7. ยิ้มไว้

โลกไม่ได้มืดหม่นตลอด การยิ้มช่วยให้โลกของคุณสดใสขึ้น แม้ในบางสถานการณ์นั้น การยิ้มอาจจะยากอยู่เสียหน่อย แต่การยิ้มก็เป็นจิตวิทยาให้กับตัวเองเพื่อที่จะมองโลกในแง่บวกมากกว่าที่จะหม่นหมองเศร้าจนรู้สึกแย่ไปเสียทุกอย่าง ฉะนั้น ยิ้มกันนะครับ ^^

ภาพประกอบซื้อและดาวน์โหลดจาก Bigstock

ข้อมูลจาก nuttaputch.com

5 ความผิดพลาดที่คนประสบความสำเร็จเขาไม่ทำกัน

หลายๆ คนมักคิดว่าคนที่ประสบความสำเร็จนั้นมักจะเป็นคนเก่งมากๆ บ้างก็คิดว่าทำอะไรก็คงสำเร็จไปหมดทุกอย่าง หรือไม่ก็เป็นประเภทรู้ไปหมด แต่ในความจริงแล้วคนที่ประสบความสำเร็จหลายคนก็พบกับความล้มเหลวมาก่อน แต่พวกเขาเรียนรู้จากความล้มเหลวเหล่านั้นรวมทั้งวางแผนชีวิตต่อมาให้ไม่ต้องเจอกับเหตุการณ์ดังกล่าว สิ่งที่ตามมาคือพวกเขามักจะมีหลายๆ สิ่งที่จะไม่ได้ทำเหมือนคนอื่นๆ ซึ่ง Bernard Marr เองก็ได้ทำการสังเกตและรวบรวมเอาไว้และเขียนไว้ในบทความของเขาอย่างน่าสนใจ โดยมีดังนี้ครับ

1. การปฏิเสธความรับผิดชอบ

ถ้าเราสังเกตกันแล้ว สิ่งที่คนซึ่งประสบความสำเร็จไม่ทำกันคือการโทษคนอื่นหรือโยนความรับผิดชอบให้ออกไปจากตัว เมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้น สิ่งที่เรามักจะได้ยินคือ “เราทำไม่ได้เพราะ บลา บลา บลา” หรือไม่ก็ “มันเป็นความผิดจากฝั่ง…..” แต่สิ่งซึ่งคนที่ประสบความสำเร็จทำกันคือการรับความผิดไว้ที่ตัวเองหรือพยายามรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่น่าสนใจมันอยู่ตรงที่เมื่อคุณกล้าที่จะรับความผิดที่เกิดขึ้น ยอมรับผิดชอบ สิ่งที่ตามมาคือคุณจะเริ่มเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้นๆ มากกว่าคนทั่วๆ ไปที่มักคิดว่ามันไม่ใช่ความผิดของตัวเองแล้วก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรจากมัน

2. การผัดวันประกันพรุ่ง

คนหลายๆ คนมักจะบอกว่า “รอก่อน” หรือ “รอให้ถึงเวลาที่พร้อม” แต่คนที่ประสบความสำเร็จจะลงมือทำไม่ว่ามันจะเป็นเวลาใช่หรือไม่ใช่ก็ตาม ในขณะที่บรรดานักการตลาดหรือนักธุรกิจจำนวนมากพยายามวิเคราะห์ตลาดและอ้างข้อมูลมากมายเพื่อจะบอกว่าเมื่อไรจะพร้อม แต่คนที่ประสบความสำเร็จจะลงมือทำ แม้ว่าจะเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแต่ก็เป็นการสะสมไปเรื่อยๆ ซึ่งความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่นั้นก็เกิดจากการสะสมความสำเร็จทีละเล็กทีละน้อยไปเรื่อยๆ นี่แหละ

3. ตามเทรนด์ต่างๆ

ถ้าคุณทำอะไรสักอย่างเพราะรู้สึกว่าใครๆ เขาก็ทำกัน มันก็คงยากที่คุณจะกลายเป็นผู้นำกับเขา ยิ่งในยุคที่วันนี้เรามีข้อมูลมากมายเกิดขึ้นในทุกวินาที ถ้าคุณจะมัวแต่รอให้อะไรเกิดขึ้นเป็นเทรนด์ เป็นกระแสก่อนแล้วค่อยเดินตามคนอื่นเขา ก็คงยากที่จะประสบความสำเร็จเป็นแน่ เข่นเดียวกัน ถ้าคุณเอาแต่ตามเทรนด์ที่มันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วแล้ว มันก็คงยากที่คุณจะลงลึกถึงแก่นสำคัญในเรื่องต่างๆ ได้ ฉะนั้นแล้ว คงจะดีกว่าถ้าคุณจะสนใจลงไปที่หัวใจในสิ่งที่คุณสนใจ แทนที่จะไปไล่ตามจับเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ

4. พยายามทำงานมันคนเดียว

ถ้าเราสังเกตแล้ว คนเก่งๆ มักจะไม่ได้เก่งคนเดียว แต่เขาจะมีคนเก่งๆ อยู่รอบตัวเขาด้วย เช่นเดียวกัน คนประสบความสำเร็จนั้นมักจะไม่ทำอะไรเพียงคนเดียว แต่ยังพยายามรวมคนเก่งๆ มาร่วมในความสำเร็จของเขาด้วย ในทางหนึ่งแล้ว นอกจากจะทำงานมีคุณภาพขึ้นแล้ว ยังเป็นการใช้ประสิทธิภาพของบุคลากรต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ ขยายขีดความสามารถได้อีกมากมายด้วย เพราะถ้าเขาทำเพียงคนเดียวแล้ว ความสำเร็จที่เกิดขึ้นอาจจะไม่มากเพียงพอจะสร้างความเปลี่ยนก็ได้

5. ไม่มีความเชื่อ

ถ้าเราไปมองหาคนที่ประสบความสำเร็จแล้วนั้น สิ่งที่เรามักจะเห็นอยู่เสมอคือพวกเขาจะมีความเชื่อมั่นอย่างเหลือล้น พวกเขาจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองคิดว่ามันจะประสบความสำเร็จได้ มันจะสร้างการเปลี่ยนแปลงสำคัญได้ คนเหล่านี้จะมีพลังชีวิตในการสร้างสรรค์จากความเชื่อนี้แหละที่จะมากกว่าคนทั่วๆ ไป พวกเขาจะสามารถทำงานอย่างมากมายโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยในขณะที่คนทั่วๆ ไปที่ไม่ได้เชื่อแบบเขา หรือมองเห็นอนาคตแบบเขาจะทำกันได้ ฉะนั้นแล้ว คุณอาจจะต้องเริ่มลองหา “ความเชื่อ” ของคุณบ้างแล้วว่าคืออะไร คุณอยากทำอะไร และคุณดีพอที่จะทำสิ่งเหล่านั้นเพื่อปลุกตัวตนที่หลับอยู่ของคุณขึ้นมานั่นเอง

ภาพประกอบซื้อและดาว์นโหลดอย่างถูกต้องจาก shutterstock

ข้อมูลจาก nuttaputch.com